“ประดู่มีสัญลักษณ์ของมันอยู่อย่างหนึ่งซึ่งข้าเคยเฝ้าสังเกตมานานแล้ว
คือการบานและโรย มันเกิดขึ้นพร้อมเพรียงกันทั้งต้น เวลามันไม่ยอมบาน
ทีละดอก เช่นพันธุ์ไม้อื่น เช่นเดียวกับเวลาโรยสลายพร่างพรูจากต้น มันก็ร่วงโรย
พร้อมกันหมด ไม่เหลือเลยจนดอกเดียวเหมือนกับดอกซากุระของเมืองญี่ปุ่นที่ข้า
ไปเห็นมา นั่นเขาถือเป็นพันธุ์ไม้แห่งความสามามัคคีของพวกญี่ปุ่น แต่เอ็งคิดว่า
ข้าพูดถูกไหม หากข้าจะเรียกประดู่ว่าเป็นดอกไม้แห่งความสามัคคีสำหรับ
เมืองไทยเรา”
“รับสั่งถูกแล้ว สัญลักษณ์แห่งความสามัคคีของคนไทย คือดอกประดู่”
“ดอกประดู่ทำให้ข้าได้ความคิดที่จะต่อเพลงสามัคคีของเราอีกหน่อย ไหนเอ็ง
อ่านตอนที่เขียนไว้วันก่อนซิ”
เรือโทวิชาพลิกกระดาษในสมุดเล่มนั้นโดยเร็ว และอ่านออกเสียงถวายดังๆ
“หะเบสสมอพลัน ออกสันดรไป ลัดไปเกาะสีชัง จนกระทั่งกระโจมไฟ
เที่ยวหาข้าศึก มิได้นึกจะกลับมาใน…”
ทรงเว้นถอนพระทัย เพียงครู่เดียวก็รับสั่งด้วยน้ำเสียงอันซึ้งไปด้วย
ความรู้สึกดื่มด่ำ
“พวกเราทุกลำ จำเช่นดอกประดู่ วันไหนวันดี บานคลี่พร้อมอยู่ วันไหน
ร่วงโรย ดอกโปรยตกพรู ทหารเรือเราจงดู ตายเป็นหมู่ให้ชาติไทย”